วิธีการยืดอายุแบต-การฟื้นฟูแบตเตอรี่Lead-Acid มีหลายวิธี
1.ใช้สารเคมีสลายซัลเฟตเติมลงในช่องน้ำกรด
เช่นล้างแบตทำสาว , ล้างด้วยน้ำร้อน ,ใช้สารเคมีเติมลงไปในแบต (EDTA,ดีเกลือไทยคือโซเดียมซัลเฟต,ดีเกลือฝรั่งคือแมกนีเซียมซัลเฟต หรือที่รู้จักกันในชื่อ เกลือยิปซัม (Epsom salts) ใช้เป็นยาระบาย) และใช้วงจรพัลส์สลายผลึกตะกั่วซัลเฟต(ผลึกเกลือ) ซึ่งวิธีทั้งหมดทำเพื่อเอาผลึกเกลือออกทั้งสิ้น เมื่อเอาออกแล้วแผ่นธาตุจะบางลงและมีไฟแรงขึ้นแต่ก็ไม่เท่าของใหม่ แล้วเมื่อแผ่นธาตุบางลงมากๆแล้ว ก็มีโอกาสแตกหักได้ง่าย การที่จะใช้แบตเก่ากับรถยนต์ต่อไปก็เสี่ยงที่จะได้กินข้าวลิง เพราะไม่รู้ว่าแผ่นธาตุจะแตกเมื่อไหร่
-การฟื้นฟูแบตเตอรี่ ควรทำทุกๆรอบ1ปี เพื่อขจัดตะกอนตะกั่วและผลึกเกลือไม่ให้เบียดกันจนแบตบวม ตะกอนตะกั่วที่เทออกมาให้นำเก็บไว้เท กลับลงไปในแบตเมื่อแบตเสีย แล้วค่อยเอาไปชั่งกิโลขาย ไม่ควรเททิ้งลงพื้น เพราะเป็นสารพิษตกค้างยาวนาน
-ส่วนน้ำกรดในแบตคือกรดกำมะถัน หรือกรดซัลฟูริค มีลักษณะใสไม่มีกลิ่น ทำลายปอดได้ ระเหยได้ในอุณหภูมิห้อง แต่เมื่อโดนความร้อนซัลเฟอร์จะระเหยออกกลายเป็นก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ซึ่งมีกลิ่นกำมะถัน กรดที่มีถ.พ.(ความถ่วงจำเพาะ)1250จึงจะเหมาะสมที่จะใช้กับแบต การที่หลายๆท่านบอกว่าต้องเททิ้งเพราะไม่มีเครื่องวัดถ.พ. และยุ่งยากในการปรับถ.พ. ซึ่งเราสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้โดยทิ้งให้ตกตะกอนแล้วเอาเฉพาะน้ำกรดใสๆมาใช้ได้แล้วมาปรับกรดอีกที แต่ถ้าต้องการเททิ้ง ควรทำให้เป็นกลางด้วยแบคกิ้งโซดา หรือน้ำปูน หินปูน
-การล้างแบตทำสาว ในขั้นตอนที่ใส่กรดเกลือ การใส่น้ำยาล้างห้องน้ำมากเกินไป อาจทำให้แผ่นแตกและเสียหายได้ เช่นกันกับการใส่ดีเกลือก็ไม่ควรใส่มากเกินไป สำหรับแบตเก่า35Ah ให้เริ่มที่1/2-3/4ช้อนชา ละลายน้ำ แล้วแบ่งใส่ให้เท่าๆกันทั้ง6ช่อง แล้วค่อยๆปรับเพิ่มขึ้นหากต้องการ
-ดีเกลือSodium Sulfate Salt (Na2SO4) มีข้อมูลตามเว๊บ http://members.shaw.ca/Craig-C/Na2SO4.html ได้บอกว่าสามารถยืดอายุแบตได้ถึง3-4เท่าเลยครับ
ปริมาณที่ใช้สำหรับแบตใหม่ หน่วยเป็นปอนด์ ปริมาณการใส่ดีเกลือช่องละ2.5-3กรัมต่อน้ำหนักแบต5ปอนด์
(small car batteries 28-34 pounds)
(medium car battery 33-40 pounds)
(typical 45-55 pound "size 27" deep cycle battery)
-ดีเกลือฝรั่ง magnesium sulfate Salt
มีหลายเว๊บของฝรั่งเขียนไว้มากมาย อ่านไม่ไหว เอาเป็นว่าให้ใส่เท่ากับ Sodium Sulfate Salt หรือน้อยกว่าก็ได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นแม็กนีเซียมหรือโซเดียม ทั้ง2ตัวนี้จะเข้าไปขัดขวางการรวมตัวของเกลือตะกั่วไม่ให้เป็นผลึกใหญ่ ผลึกใหญ่เป็นสาเหตุทำให้แบตเสื่อม และแน่นอนการเกิดปฏิกิริยาไปกลับระหว่างตะกั่วซัลเฟต,ตะกั่ว,ตะกั่วออกไซด์ จะมีอนุภาคตะกั่วบางส่วนไม่เกาะหรือเกาะไม่แน่นกับแผ่นธาตุ แล้วจะมีตะกอนตะกั่วตกลงไปที่ก้นแบตหรือตกค้างระหว่างแผ่นธาตุ
2.ใช้เครื่องสลายทางไฟฟ้า-วงจรสลายผลึกเกลือ ซึ่งอาจจะเป็นเครื่องชาร์จแบตในตัวเดียวกัน
2.1.มีทั้งแบบเฉพาะเครื่องสลาย และแบบชาร์จไปสลายไปในเวลาเดียวกัน ที่ทำขายกันอ้างว่าความถี่พัลส์ที่เหมาะสมจะเท่ากับ10KHz (ของไทยทำเป็น1KHz http://www.vlovepeugeot.com/forum/index.php?topic=8665.0) ใช้ติดข้างๆแบตในรถยนต์ได้เลยหรือใช้ร่วมกับเครื่องชาร์จภายนอกได้ การชาร์จแบตไม่ควรใช้แหล่งจ่ายไฟเข้าชาร์จแบตเกิน 10% และ ต่ำกว่า 2% เช่น แบต 75 Amh ควรใช้ ระหว่าง 1.5 -7.5 Amh ครับ แต่จะใช้มากกว่าก็ได้ (แบตร้อนและเสื่อมไว น้ำกลั่นพร่องไว) หรือน้อยกว่าก็ได้ (ไฟจะเพียงพอแค่ช่วยสลายผลึกแต่แทบจะไม่ช่วยชาร์จแบต)
2.2.แบบHome made สลายผลึกเกลือและชาร์จได้หลากหลายแรงดันด้วยเครื่องเดียว แต่ไม่มีวงจรตัดไฟเมื่อแบตเต็ม แบบง่ายทำได้เอง มี2แบบ คือ
2.2.1แบบที่ใช้ คาปาซิเตอร์กับไดโอดบริจด์ http://poormanguides.blogspot.com/2009/05/updated-chargerdesulfator.html แบบนี้จะชาร์จแบตได้ตั้งแต่ 6v. ไปจนถึงหลายๆโวลต์ แต่ไฟแรงสูงและมีอันตราย ให้ความถี่พัลส์เป็น2เท่าของความถี่ไฟบ้าน ให้ใช้คีมคีบขั้วแบตก่อนเปิดสวิตท์ทุกครั้ง และปิดสวิตท์ก่อนเอาออกทุกครั้ง การที่ไม่คีบขั้วแบตก่อนอาจทำให้อุปกรณ์ชำรุด และมีไฟขาออกสูงถึง 340V.100Hzสำหรับไฟบ้าน220V.50Hz , 170V.120Hzสำหรับ 110V. 60Hz แอมป์ที่ได้จะเท่ากับ 2*22/7*230*50*ความจุคาปาซิเตอร์30MFD(ไมโครฟารัด)=2.16857แอมป์ แต่ถ้าคีบขั้วแบตก่อนเครื่องชาร์จจะจ่ายไฟเพื่ออย่างเหมาะสมเอง กระแสที่เหมาะสมให้สังเกตุที่แบตว่าขณะชาร์จ แบตต้องไม่ร้อน ผมลองที่12MFDกับแบต85Ahมีฟองมากพอสมควรและแบตไม่ร้อน ,และลอง30MFDกับแบต35Ahแล้วทำให้แบตร้อน
2.2.2แบบขดลวด+ทรานซิสเตอร์+R
http://www.walletdd.com/article/%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E2%80%A6%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%86-%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87
จะให้ความถี่สูงหลายช่วงแล้วแต่อุปกรณ์ที่นำมาใช้ มีบางเว๊บว่าไว้ประมาณ40KHz ซึ่งผมลองกับแบบของไทย adaptor12v. 1200ma , 5v.2A กับแบต35Ahก็มีฟองก๊าซผุดขึ้นพอควร
ข้อมูลบางส่วนคัดลอกมาจากที่อื่น
สตาร์ทรถแล้ว ไฟต้องไม่ต่ำกว่า 13.1 VDC ถ้าไม่ถึง แสดงว่าไม่รั่วก็ มีโหลดดึงไฟอยู่ ถ้าเร่ง ไฟต้องไม่เกิน 14.6 VDC (แผ่นชาร์ต จำกัดแรงดัน)จะ Charge ให้เต็มแบต หม้อแปลงก็ต้องมีแรงดันมากกว่าแบต แต่หากมากเกินไปกระแสไหลเข้าแบตมากเกินไปเกิดความร้อนพร้อมกับปฏิกิริยา Electrolysis แยกน้ำ ซึ่งจะได้ทั้ง Hydrogen และ Oxygen หากเกิดจนระบายไม่ทันแบตก็พังได้ จึงต้องควบคุมกระแสไม่ให้มากเกิน,เปิดจุกออก และแรงดันก็ต้องไม่ให้มากเกินไปม่ายงั้นหม้อแปลงก็จ่ายกระแสให้แบตไม่หยุด แม้ว่าแบตจะเต็มแล้ว พลังงานส่วนเกินที่เหลือก็จะเปลี่ยนเป็นความร้อนเผา Electrolyte จนแห้ง
การชาร์จแบตไม่ควรใช้แหล่งจ่ายไฟเข้าชาร์จแบตเกิน 10% และ ต่ำกว่า 2%เช่น แบต 75 Amh ควรใช้ ระหว่าง 1.5 - 7.5 Amh ครับแต่จะใช้มากกว่าก็ได้ (แบตร้อนและเสื่อมไว น้ำกลั่นพร่องไว)หรือน้อยกว่าก็ได้ (ไฟจะเพียงพอแค่ช่วยสลายผลึกแต่แทบจะไม่ช่วยชาร์จแบต)
วิธีการยืดอายุแบต
1.ใช้สารเคมีสลายซัลเฟตเติมลงในช่องน้ำกรด
2.ใช้เครื่องสลายทางไฟฟ้า
สาเหตุหลักที่ทำให้แบตเสื่อมเร็ว
1.เกิดการจ่ายประจุมากเกินไป และไม่ได้ชาร์จในเวลาอันสมควร คือ Discharge ออกมาแล้วปล่อยทิ้งไว้ไม่ชาร์จ – โอกาสเกิดน้อยมาก
2.เกิดจากความเข้มข้นของกรดซัลฟุริกที่ไม่เหมาะสม มากไป ( น้ำแห้ง ) หรือ น้อยไป – อยู่ที่เราดูแล
3.ใช้งานที่อุณหภูมิสูงติดต่อกันนานๆ - ถ้าไม่เกิน 70 องศา ก็ไม่เป็นไร
4.กรณีไม่ใช้รถนานๆ หรือ ไม่มีการชาร์จแบต เช่นจอดรถทิ้งไว้นานๆแล้วไปต่างประเทศ
5.การสะสมของซัลเฟตที่แผ่นธาตุ – ปัจจัยนี้ควบคุมไม่ได้แต่ปัจจุบันได้
6.เกิดการลัดวงจรภายใน
7.สะพานไฟเสียหาย
8. อื่นๆ
อาการสะสมของตะกั่วซัลเฟต
1.เมื่อมีการสะสมของซัลเฟตที่แผ่นธาตุมากๆขึ้น จะพบว่าเวลาแบตจ่ายไฟจะทำให้ V ลดลงเร็วมาก และตอนชาร์จ ค่า V ก็จะเพิ่มเร็วมากเนื่องจากค่าความต้านทานภายในสูงขึ้น ซึ่งเกิดจากการสะสมของซัลเฟตที่แผ่นธาตุ
2.แรงดันไฟฟ้าของแบตต่ำกว่าเกณฑ์
3.กินน้ำกลั่น เนื่องจากขณะชาร์จ เกิดฟองแก๊สมากจึงระเหยออกไปได้
4.แผ่นธาตุ ขรุ ขระ แข็ง
จากสาเหตุการเสื่อมของแบต สาเหตุจากการเกิดซัลเฟต เป็นสิ่งที่มีผลต่ออายุของแบตมาก โดยหากสามารถทำการสลายซัลเฟตออกได้ก็เท่ากับยืดอายุของแบตออกไป ซึ่งอาจเป็น 2 เท่า ของปกติได้ หรือ อาจอยู่ได้นานถึง 5 ปี หากทำการสลายซัลเฟตเป็นประจำ แนะนำให้ทำทุก 2-3เดือน
โครงสร้างแบตเตอร์รี่
1.แผ่นธาตุตะกั่ว
- ขั้วบวก เป็น ตะกั่วออกไซด์
- ขั้วลบ เป็น ตะกั่ว
2.น้ำกรด (กรดซัลฟุริก ) ที่แผ่นธาตุจมอยู่ เพื่อทำให้เกิดปฎิกริยาเคมี ระหว่างแผ่นตะกั่ว กับ กรดซัลฟุริก จนทำให้อิเลคตรอนวิ่งจากขั่วลบไปขั้วบวก แต่ กระแสไฟฟ้าจะวิ่งจากขั้วบวกไปขั้วลบสาเหตุความเสื่อมของแบตเตอร์รี่ โดยมากเกิดจากการเกาะตัวของซัลเฟตที่แผ่นธาตุ ซึ่งทำให้ความต้านทานภายในเซลล์สูงขึ้น จนเป็นอุปสรรคต่อการชาร์จไฟ และ จ่ายไฟในช่วงเริ่มแรกของการเกาะตัวของซัลเฟตที่แผ่นธาตุ การชาร์จไฟจากไดชาร์จหรือ เครื่องชาร์จ ก็ทำงานได้ลดลง ซึ่งก็เป็นเหตุให้เกิดการสะสมของซัลเฟตมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมากขึ้นแล้วในที่สุดก็ชาร์จไฟไม่เข้า จ่ายไฟไม่ออก ที่เราเรียกว่า แบตตาย ซึ่งมาสาเหตุ90 % มาจากการสะสมของซัลเฟต อีก 10 % เป็นสาเหตุอื่น
แบตตายแท้จริงแล้วก็เปรียบคล้ายๆอะไหล่รถเก่าเชียงกงคือเอามาล้างทำความสะอาดให้ดูเหมือนใหม่ได้ แต่ยังไงก็ไม่เหมือนของใหม่แกะกล่องและอายุการใช้งานก็เหลือน้อยลงไปตามลำดับการฟื้นฟูแบต ต้องทำตั้งแต่แบตยังใช้งานได้อยู่จึงจะได้ผลดีที่สุดดังนั้นการสลายซัลเฟต ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องกำเนิดความถี่ หรือ สารเคมีก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีที่สามารถทำให้แบตมีอายุนานขึ้นแต่จะไม่เหมือนของใหม่ 100%
เครื่องยืดอายุแบต ฟื้นฟูแบต
ใช้เทคโนโลยี Reverse Pulse ที่สามารถสลายซัลเฟตที่เกาะอยู่ที่แผ่นธาตุอย่างได้ผล ช่วยคืนสภาพแบตเตอร์รี่ให้มีสภาพ สดใหม่ กำลังไฟแรง พร้อมทั้งยืดอายุ แบตเตอร์รี่ได้ด้วย ใช้เทคนิค การควบคุมความถี่ , แอมปลิจูด ของ โวลต์ V,และกระแส A ในลักษณะของพัลส์ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ดีที่สุด ณ ปัจจุบัน ในการสลายซัลเฟต
ข้อดีของการใช้เครื่องฟื้นฟูแบต คือ ในระหว่างการชาร์จไฟ หรือช่วงฟื้นฟู อุณหภูมิของแบตเตอร์รี่จะไม่สูง เมื่อเทียบกับเครื่องชาร์จแบบanalogที่ระหว่างชาร์จจะทำให้อุณหภูมิของแบตสูงกว่า ซึ่งเท่ากับเป็นการบั่นทอนอายุของแบตเตอร์รี่ด้วยระหว่างการชาร์จไฟ หรือช่วงฟื้นฟู การเกิดก๊าซในแบตเตอร์รี่จะน้อยกว่าการชาร์จด้วยเครื่องชาร์จทั่วไประหว่างการชาร์จหรือ ฟื้นฟู เครื่องชาร์จ จะทำการ Balance ค่า Voltage ของแต่ละเซลล์ให้ ซึ่งทำให้การประจุไฟ สามารถทำได้อย่างสมดุล ลดปัญหาการจ่ายไฟระหว่างเซลล์ภายในเอง และป้องกันการเกิด Over Voltage ของเซลล์ใดเซลล์หนึ่งได้
ขั้นตอนการทำงานของเครื่องชาร์จ (ข้อมูลได้มาจาก http://www.technology2029.com/Battery%20lead%20acid%20regenerator.html)
Step 1. Initial Testing การทดสอบเบื้องต้น
เครื่องชาร์จ จะทำการส่ง Reverse Pulse ไปยังแบตเตอร์รี่ เพื่อทำการตรวจเช็คสภาพ การรับรู้กระแสไฟฟ้าของแบตเตอร์รี่เพื่อดูว่า
แบตยังสามารถชาร์จไฟได้หรือไม่ หรือหากแบตเสื่อมสภาพไปแล้วเครื่องชาร์จ จะแจ้งผลออกมาและจะไม่ทำงานใน Step ต่อไป
Step 2. Soft Charge การชาร์จระยะแรก
เครื่องชาร์จ จะทำการชาร์จด้วยกระแสไฟต่ำ ๆ ก่อนเพื่อกระตุ้นแบตให้เตรียมรับสภาพประจุไฟฟ้า ในขั้นตอนนี้หากมีปัญหาภายในแบตเตอร์รี่ เช่น สะพานไฟภายในไม่ดี เครื่องชาร์จ จะหยุดทำงานทันที
เครื่องจะชาร์จด้วยกระแสไฟประมาณ 8% Rated หรือ ( 8 % ) ( 15A ) = 1200 mA
Step 3. Bulk Charge การชาร์จแบบ Dump ประจุไฟเข้าไปเป็นช่วงที่ทำการชาร์จประมาณ 80 % ของทั้ง 8 Step ในช่วงนี้ เครื่องจะไต่ระดับกระแสไฟฟ้าและแรงดันไฟฟ้าขึ้นไป จนกระทั่งค่า Vของแบตเพิ่มสูงขึ้น จนถึงค่า Preset หรือประมาณ 14.7 V จากนั้นเครื่องจะเปลี่ยน Step การชาร์จในลำดับถัดไป
Step 4. Absorption Charge ( High Voltage Stability )
เป็นการชาร์จที่ระดับ Voltage สูง ( 14.7 V ) และที่กระแสสูง ( Rated Charging Current ; 15A ) เพื่อทำให้แบตมีประจุไฟเต็มเร็วขึ้น ช่วงนี้ก็คล้าย ๆ กับการบดอัดดินให้แน่น หลังจากถมดินลงไปแล้วในขั้นที่ 3
Step 5. Test
เครื่องชาร์จ จะหยุดชาร์จ และลดระดับ Surface Voltage ลงจนถึงค่า ๆ หนึ่ง จากนั้นก็ทำให้แบตลดค่า Voltage ลงอีกจนถึงค่าประมาณ 13.7 V แล้ว เครื่องชาร์จ จะเริ่ม Charge กระแสไฟเข้าไปอีกครั้งที่ประมาณ 15 A (Rated) แล้วค่อย ๆ ลดค่ากระแสลงเรื่อย ๆแต่คงระดับ Voltage ที่ 13.7 V
Step 6., 7. Float Charge และ Replenish Charge (การเติมเต็ม)
Step 8. Maintenance Charge การชาร์จซ่อม
จะคล้าย ๆ กับการ Trickle คือค่อย ๆ เติมกระแสไฟเข้าไปจนเต็มเปี่ยม ด้วยเทคนิคการยกระดับ Voltage ในแบบ Jerk หรือ การกระตุกเป็นช่วง ๆการ Trickle เปรียบเสมือน การค่อย ๆ รินน้ำลงในขวดจนเต็ม คือในช่วงแรก เราอาจกรอกน้ำลงไปได้ทีละมาก ๆ ( Bulk Charge ) แต่พอน้ำใกล้เต็มขวด เราต้องค่อย ๆ รินเข้าไปทีละน้อย ๆ น้ำจึงจะเต็มโดยสมบูรณ์แบบเครื่องชาร์จ จะทำการปล่อยคลื่นความถี่ระดับ Ultrasonic หรือความถี่เหนือเสียงที่มนุษย์ได้ยิน (มากกว่า 20,000 Hz) เข้าไปพร้อมกับการชาร์จ เพื่อเข้าไปทำการสลายซัลเฟตที่เกาะกับแผ่นธาตูให้หลุดออกมา แล้วละลายไปกับน้ำกรดในแบเตอร์รี่ทั้งหมดนี้เป็นขั้นตอนการทำงานอันอัจฉริยะ ควบคุมด้วย Microprocessor
ข้อควรระวัง
ต้องทำการคีบแบตให้เรียบร้อยก่อน เสียบปลั๊กไฟ 220 V มิฉะนั้นเครื่องชาร์จอาจจะเสียหายได้
ระหว่างทำการชาร์จ ห้ามยกปากคีบออกไปคีบแบตลูกอื่น เพราะเครื่องชาร์จอาจจะเสียหาย หากต้องการหยุดการทำงาน ให้ถอดปลั๊กไฟ 220 VAC เมื่อทำการชาร์จเสร็จแล้วให้ถอดปลั๊กไฟก่อน แล้วค่อยปลดปากคีบจากแบต โปรดทำตามขั้นตอนโดยเคร่งครัด
สำหรับแบตใหม่ หากสามารถทำการรีเจ็น อย่างน้อยปีละ 2-3ครั้งก็จะสามารถยืดอายุการใช้งานได้อีกเท่าตัว และยังช่วยให้ระบบสตาร์ท ระบบชาร์จ ทำงานได้ดี ไม่โทรมเร็ว
เครื่องนี้เหมาะสำหรับ
ผู้ที่ต้องการยืดอายุแบตให้ได้นานที่สุด
อู่ซ่อมรถยนต์
สนามกอล์ฟ
โรงงาน ที่ใช้รถฟอล์คลิฟต์
เต้นท์รถที่มีปัญหา แบตเตอร์รี่รถยนต์ใช้การไม่ได้
ผู้ที่รับงานการฟื้นฟู ยืดอายุแบต โดยเฉพาะรถ กอล์ฟ รถฟอล์คลิฟ ท ี่แบตเตอร์รี่มีราคาแพง
tieng71@gmail.com